วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์


mouse ปากกา

อุปกรณ์ hardware input อย่างหนึ่ง ลักษณะเป็นแบบกระดานฉนวนพร้อมปากกามาหนึ่งแท่ง สามารถเขียนลงใน program graphic ได้อย่างสะดวก มีน้ำหนักเบาเหมือนกับใช้ปากกาเขียนลงบนกระดาษจริงๆ ถ้าเราไม่เล่น หรือใช้งานเกี่ยวกับ Computer Graphic อุปกรณ์นี้ก็ไม่ประโยชน์สำหรับเรามากนักค่ะ

หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายคือ mouse ปากกานี้เป็นสิ่งที่ช่วยในการวาดภาพในคอมพิวเตอร์ได้ง่ายมากขึ้น แน่นอนใช้เมาส์ปกติก็สามารถวาดได้ แต่ถ้าจะให้สามารถควบคุมมือให้พริ้วแบบที่ใช้ดินสอหรือปากกา mouse ปากกาอุปกรณ์ตัวนี้นี่แหละคือปากกาดิจิตอลดีๆนี่เอง

เจ้า mouse ปากกามีอยู่หลายแบรนด์ และหลายรุ่นมาก วันนี้เราจะมาแนะนำ mouse ปากการุ่นถูกๆ ประหยัดเงิน ซึ่งตอนนี้มีในตลาดอยู่ประมาณ 3 – 4 แบรนด์ และมาเปรียบเทียบความแตกต่างของ 2 แบรนด์ดังอย่าง Genius และ Wacom ว่าจะมีความแตกต่างกันอย่างไร และคุ้มค่าแก่การลงทุนรึเปล่ามาดูกันเลยค่ะ

mouse ปากการุ่นประหยัดเงินในกระเป๋า

1. Genius : ราคาถูก สามารถหาซื้อได้ง่ายมากที่สุด ในระดับราคาที่ถูกเส้นอาจจะไล่น้ำหนักไม่ได้ดี มีสัญญาณรบกวนสูง บางทีอาจมีไฟดูด ถ้านำมาใช้งานมาวาดรูป ตัดเส้น ก็ต้องคิดหนักๆสักหน่อยค่ะว่าคุ้มค่าและเหมาะสมกับการใช้งานของเราหรือเปล่า

2. Acecad : มีเส้นไล่น้ำหนักที่มากขึ้นกว่าของ Genius (มีหลายคนแนะนำมากกว่า Genius) แต่จะกินไฟมาก และอาจมีไฟดูด เวลาใช้งานต้องไม่ให้เท้าติดพื้นเพื่อป้องกันไฟดูด ต้องลงแรงในการวาดภาพมาก

3. XP Pen : เส้นไล่น้ำหนักได้ดี ไม่มีไฟดูด ไม่มีสัญญาณรบกวน แต่ใช้งานตัดเส้นไม่ได้ ด้วยตัวหัวปากกาที่อ่อน เหมือนติดสปริง เวลาตวัดเส้นมันโค้งทุกองศา ถ้านำมาใช้งานลงสีอย่างเดียว มีการแต่งเส้นนิดหน่อย XP Pen เป็นตัวเลือกที่ดี ถึงแม้บางครั้งจะมีอาการค้างบ้างนิดหน่อยค่ะ

4. D-Note : สัญญาณดีมาก นิ่ง และสามารถตวัดเส้นได้ตามที่ต้องการ ไม่พุ่งทะยานไร้ทิศทาง เพราะหัวปากกาแข็งและกระดาน Tablet ไม่ลื่นมาก ส่วนระยะเวลาการใช้งานจะยาวหรือไม่นั้น ไม่แน่ใจค่ะ แต่สำหรับ mouse ปากกา ระยะเวลา 2 ปีก็คุ้มค่าสำหรับการใช้งานแล้วค่ะ
แนะนำ mouse ปากกา 2 แบรนด์ดัง Genius และ Wacom


รูปภาพประกอบจาก : http://todoelectronica.com/ratonboligrafo-optico-inalambrico-24ghz-1200dpi-genius-p-14334.html

Genius

mouse ปากการาคาถูก มีให้เลือกหลากหลายรุ่น เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งาน เพราะด้วยราคาแค่เพียงหลักพันต้นเท่านั้น เช่นรุ่น Genius Pen Mouse ที่ทำให้การใช้งานง่ายขึ้น โดยสามารถแตะปลายปากกากับหน้าตัก แล้วลากมือเพื่อบังคับลูกศร หรือ Pointer ในเครื่องได้อย่างสะดวก ตัวเมาส์สามารถทำงานได้ดีบนพื้นผิวอย่างผ้าทั้งกางเกงและกระโปรง หากต้องการคลิกซ้ายให้กดปลายปากกาจนมีเสียงคลิกได้เลย แต่การคลิกขวาและเลื่อนหน้า (Scroll) ต้องกดปุ่มแยกต่างหาก

คุณสมบัติของ Genius Pen Mouse คือการเป็นเมาส์ไร้สายที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ด้วยพอร์ต USB ความละเอียดสูงสุดคือ 1200 dpi ใช้พลังงานจากถ่านขนาด AAA ขนาดความยาวเครื่อง 5.2 นิ้วโดยประมาณ

รองรับระบบ OS : Windows XP / Windows Vista / Windows 7

ข้อดี : น้ำหนักเบา พกพาง่าย ทำงานได้ดีบนพื้นผิวหลากหลาย ไม่มีปัญหาเรื่องความสับสนระหว่างการคลิกซ้าย – ขวา เพราะวิธีการออกแบบรูปแบบการกดที่เหมาะสม ราคาถูกประมาณ 1300 บาทค่ะ

ข้อเสีย : ไม่มีปุ่มพักการใช้งาน อยากพักต้องถอดแบตเตอรี่ออกอย่างเดียว ผู้ใช้เมาส์ปกติอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวเพื่อใช้เมาส์ปากกา ขณะที่ชิ้นส่วนอะไหล่สำหรับเปลี่ยนเสี่ยงสูญหายง่ายมาก

ข้อจำกัดของ mouse ปากกา Genius : ไม่รองรับแก้วและกระจกเท่านั้นค่ะ


รูปภาพประกอบจาก : http://www.wacom.asia/th/bamboo-tablets

Wacom

mouse ปากกาที่ราคาสูงสักหน่อย แต่คุ้มค่าแก่การลงทุนครั้งเดียวสามารถใช้งานได้ยาวนานพอสมควรเลยนะคะ มีหลายรุ่น หลายขนาดออกมาให้เราเลือกตามการใช้งานที่เหมาะสม และตามสตางค์ในกระเป๋าของเราค่ะ เช่น Wacom Bamboo มีทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันคือ Wacom Bamboo Pen และอีกรุ่นคือ Wacom Bamboo Pen & Touch เค้าว่ากันว่าเป็นเมาส์ปากกาที่เรียกได้ว่าขายดีที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ด้วยราคาที่ไม่แพงมากและคุณภาพในการใช้งานที่เหนือใช้

คุณสมบัติการใช้งาน

1. สร้างไฟล์เอกสารที่แสดงถึงลักษณะเฉพาะของคุณเอง เพิ่มลายเซ็นต์ด้วยมือที่คุณต้องการ ภาพร่าง หรือการขีดเส้นเล็กๆน้อยๆ ช่วยให้งานของคุณแม้แต่ไฟล์เอกสาร Word, Excel หรือ Power Point โดดเด่นไม่เหมือนใคร

2. เปลี่ยนคอมพิวเตอร์ของคุณให้เป็นเครื่องมือตบแต่ง ที่สุดยอดด้วย Bamboo ด้วยการทำเครื่องหมายประกอบและปรับปรุงการสื่อสารของคุณ เพื่อความรวดเร็ว แสดงให้เห็นชัดเจนเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าคุณต้องการสื่ออะไร ทุกอย่างด้วยลายเส้นปากกา

3. ใช้ปากกา WACOM Bamboo เพื่อปรับปรุงภาพถ่ายดิจิตอลหรือภาพวาด ปรับปรุงรูปภาพของคุณด้วยคำพูดทักทาย เช่น Hi, Hello, หวัดดี หรือ การเชื้อเชิญ การตกแต่ง วาดหนวดแบ่งปันเพื่อนฝูงและครอบครัว

4. WACOM Bamboo Pen & Touch มีระบบมัลติทัช สามารถ เลื่อน ซูม หมุนหรือพลิกภาพถ่ายและเอกสาร ง่ายและเป็นไปโดยธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปลายนิ้วสัมผัสของคุณ (คล้ายกับที่เล่นใน iPhone)

ข้อดี : ใช้ง่ายสบาย ดีไซน์สวยงาม เมาส์ปากกาลื่น สามารถใช้มือสัมผัสเพื่อเลื่อนภาพที่เราวาดได้ และใช้งานกับโปรแกรมไหนก็คล่องมือ ถูกออกแบบมาสำหรับผู้มีความถนัดทั้งมือซ้ายและขวาและใช้สำหรับทั้ง Mac และ PC ใช้งานง่ายไม่มีข้อจำกัด และราคาไม่แพงนักอยู่ที่ Wacom Bamboo Pen ราคาประมาณ 3490 บาท และ Wacom Bamboo Pen & Touch ราคาประมาณ 4699 บาทค่ะ

ข้อเสีย : คงเป็นเรื่องราคาที่อาจจะสูงเกินสำหรับผู้เริ่มต้นฝึกหัดใช้งานค่ะ

ข้อมูลเฉพาะ
ปลายปากกาที่ไวต่อแรงกด
ปากกาที่เหมาะมือและไม่ใช้แบตเตอรี่พร้อมสองปุ่มกด
แผ่นเคลือบสำหรับแท็บเล็ตที่ให้ความรู้สึกราวกับกระดาษในขนาด 16:10
การออกแบบแท็บเล็ตให้เหมาะสำหรับความถนัดทั้งสองมือ
มาพร้อมกับพื้นที่เก็บปากกาเฉพาะ
สะดวกในการเชื่อมต่อ USB (สามารถถอดได้)

จากบทความข้างต้นเป็นเพียงคำแนะนำสำหรับเป็นประโยชน์ในการเลือกซื้อมาใช้งานนะคะ ยังไงก่อนซื้อก็ควรศึกษาถึงความต้องการของเรา และความแตกต่าง รวมไปถึงความคุ้มค่า คุ้มราคาของละแบรนด์ และแต่ละรุ่นด้วยนะคะ

ที่มา http://www.hitechsky.com/mouse-%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2/

วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์

1.ความหมายของคอมพิวเตอร์
                            คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ
ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์
"คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป  นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้ 

2.คอมพิวเตอร์มีกี่ยุคอะไรบ้าง?
ยุคของคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งได้เป็น 5 ยุค ดังนี้ คือ
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าสูง จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)
มาร์ค วัน
      
                                                                      อินิแอค                                                                                                    
ยูนิแวค
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกำหนดชุดคำสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำงานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง
                                                             
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสำนักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำเร็จให้เลือกใช้กันมากทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง

                                                                        
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง

3.หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์
                      เมื่อพิจารณาศัพท์คำว่า Computer ถ้าแปลกันตรงตัวตามคำภาษาอังกฤษ จะหมายถึง เครื่องคำนวณ ดังนั้นถ้ากล่าวอย่างกว้าง ๆเครื่องคำนวณที่มีส่วนประกอบเป็นเครื่องกลไกหรือเครื่องไฟฟ้า ต่างก็จัดเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งสิ้น ลูกคิดที่เคยใช้กันในร้านค้า ไม้บรรทัด คำนวณ (slide rule) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือประจำตัววิศวกรในยุคยี่สิบปีก่อน หรือเครื่องคิดเลข ล้วนเป็นคอมพิวเตอร์ได้ทั้งหมด

ในปัจจุบันความหมายของคอมพิวเตอร์จะระบุเฉพาะเจาะจง หมายถึง เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ แต่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์"
คุณลักษณะสำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ มี 4 ประการ คือ
1. ทำงานโดยอัตโนมัติ ถ้าสังเกตการทำงานของคอมพิวเตอร์ จะพบว่า อุปกรณ์ทุกอย่างของคอมพิวเตอร์ทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ โดยที่คนไม่ได้เข้าไปควบคุม ไม่ว่าจะเป็นการอ่านข้อมูล การคำนวณ หรือการพิมพ์ผลลัพธ์
2. ทำงานได้อเนกประสงค์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้อเนกประสงค์ เพราะทำงานได้หลายชนิดขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่ใช้ เช่น โปรแกรมเงินเดือน โปรแกรมคิดคะแนนสอบของนักเรียน เป็นต้น
3. เป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบกันเข้าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์ทางด้าน
อิเล็คทรอนิคส์ทั้งสิ้น เช่น ทรานซิสเตอร์ วงจรไอซี ดังนั้นจึงทำงานด้วยความเร็วสูงมาก
4. เป็นระบบดิจิตอล คำว่า ดิจิตอล (Digital) มาจากคำว่า Digit หมายถึง ตัวเลข เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ ทำงานโดยใช้ระบบตัวเลข ข้อมูลทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นตัวเลข ตัวหนังสือ หรือเครื่องหมายในทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เมื่อส่งเข้าเครื่องรับข้อมูลของคอมพิวเตอร์แล้ว
จะถูกเปลี่ยนเป็นตัวเลขหมด


การทำงานของคอมพิวเตอร์ 
เครื่องคอมพิวเตอร์มีขั้นตอนการทำงาน 3 ขั้นตอน คือ
1. รับโปรแกรมและข้อมูล โปรแกรมในที่นี้ หมายถึง ชุดของคำสั่งที่จะให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ส่วนข้อมูล อาจเป็นตัวเลขหรือตัวหนังสือก็ได้ ที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล

2. การประมวลผล หมายถึง การจัดระเบียบแบบแผนของข้อมูล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ซึ่งทำได้โดยการคำนวณ
เปรียบเทียบ วิเคราะห์โดยใช้สูตรทางวิทยาศาสตร์ หรือ คณิตศาสตร์ โดยอาศัยคำสั่งหรือโปรแกรมที่เขียนขึ้น

3. แสดงผลลัพธ์ คือ การนำผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลเสร็จเรียบร้อย แสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้ใช้เข้าใจ และนำไปใช้ประโยชน์ได้ 





วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประเภทของ DSS 
ระบบ DSS จัดแบ่งตามจำนวนของผู้ใช้ได้เป็น 2 ประเภท คือ ระบบมีที่สนับสนุนการตัดสินใจของบุคคล ซึ่งเรียกว่า Executive Information Systems (EIS) และระบบที่สนับสนุนการตัดสินใจของกลุ่ม (Group Decision Systems) นอกจากนี้ยังมี DSS ประเภทอื่นๆ อีก เช่น ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Geographic sInformation Systems-GIS) และระบบ Expert System

1.Executive Information Systems 
ย่อมาจาก executive information system (แปลว่า ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหาร) หมาถึงการนำสารสนเทศหรือข้อมูลต่าง ๆ มาเก็บไว้ในรูปแบบที่ผู้บริหารมักจะต้องการใช้ และสามารถจะเรียกมาดู หรือใช้ได้สะดวก



2.Group Decision Systems
DSS เป็นระบบสารสนเทศประเภทหนึ่งของ DSS ซึ่งมีลักษณะเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะโต้ตอบได้ (interactive) ในการสนับสนุนงานแก้ไขปัญหาที่ไม่มีโครงสร้าง สำหรับผู้ตัดสินใจที่ทำงานกันเป็นกลุ่ม (De Santi & Gallespe, 1987) เป้าหมายของ GDSS คือการปรับปรุงประสิทธิภาพการประชุมและการตัดสินใจ หรือทั้งสองอย่าง โดยการช่วยสนับสนุนการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นภายในกลุ่ม ช่วยกระตุ้นความคิด ระดมความคิด และการแก้ปัญหาความขัดแย้ง

โปรแกรม DSS


ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเตือนภัยน้ำท่วม
(Decision Support System for Flood Warning)


บทนำ.
ภัยธรรมชาติโดยเฉพาะอุทกภัยซึ่งเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ เหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนี้อุทกภัยแต่ละครั้งมักนำมาซึ่งความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมหาศาล






มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ได้เล็งเห็นถึงปัญหาอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ จึงสร้างระบบการเฝ้าระวัง การเตือนภัยน้ำท่วม และการอพยพหลบภัยในลักษณะโครงการนำร่อง โดยเผยแพร่ข้อมูลระยะเวลาว่าเมื่อไรน้ำถึงจะล้นตลิ่ง น้ำจะท่วมนานเท่าใด บริเวณไหนบ้าง และมีระดับน้ำท่วมสูงเท่าไร ให้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ทราบ และแจ้งภัยต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อให้บุคลากรของหน่วยงานเหล่านั้นสามารถดำเนินการบรรเทาความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้อย่างเหมาะสม มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทยยังได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยระบบสนับสนุนการตัดสินใจเตือนภัยน้ำท่วมแก่ศูนย์อุตุนิยมวิทยาทะเล สำนักเฝ้าระวังและเตือนสภาวะอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งจะมีการดำเนินการเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนที่หนึ่งประดิษฐ์และติดตั้งสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย ได้แก่ บริเวณเทศบาลตำบลช่อแฮ ต.ช่อแฮ อ.เมือง จ.แพร่ บริเวณโรงเรียนบ้านห้วยใต้ ต.แม่พูล อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ บริเวณโรงเรียนบ้านแม่คุ ต.บ้านตึก อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านคลองลอย ตำบลร่อนทอง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บริเวณแขวงลุมพินี เขตปทุมวัน จ.กรุงเทพฯ บริเวณ อบต. น้ำก้อ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ บริเวณ อบต.นาซำ อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ และบริเวณ อบต.สรอย อ.วังชิ้น จ.แพร่ และส่วนที่สองได้จัดทำโปรแกรมระบบสนับสนุนการตัดสินใจเตือนภัยน้ำท่วม (Decision-supporting System for Flood Warning)
สถานีตรวจอากาศอัตโนมัติและผลการตรวจอากาศ
สถานีตรวจอากาศอัตโนมัติ คือ อุปกรณ์ทันสมัยสำหรับใช้ในการตรวจอากาศระยะไกล โดยไม่ต้องใช้มนุษย์ควบคุม ระบบนี้สามารถตรวจอากาศระยะไกลผ่านระบบตัวกลางสื่อสารสมัยใหม่คือ GPRS ซึ่งภายใต้โครงการนี้ได้มีการประดิษฐ์ดาต้าลอกเกอร์ (Data logger) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสมองกล (CPU) ของสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติสำหรับใช้งานเอง เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิตสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติ ให้ถูกกว่าการสั่งซื้ออุปกรณ์สำเร็จรูปจากต่างประเทศ ส่วนอุปกรณ์ตรวจวัด (sensor) ที่ทำหน้าที่ตรวจวัดปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยา 4 ปัจจัย คือ ลม ฝน ความชื้นสัมพัทธ์ และแสงแดด ได้จัดซื้อจากบริษัทที่มีมาตรฐาน ณ ต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลการตรวจวัดมีความแม่นยำสูง
ความคิดเห็น  เป็นโปรแกรมที่ช่วยแจ่งเตื่อนเกี่ยวกับปัญหาอุทกภัย เป็นโปรแกรมที่ดีมากและหากพัฒนาต่อจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ


ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ คืออะไร
DSS เป็นซอฟแวร์ที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการ การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างตัวแบบที่ซับซ้อน ภายใต้ซอฟต์แวร์เดียวกัน นอกจากนั้น DSSยังเป็นการประสานการทำงานระหว่างบุคลากรกับเทคโนโลยีทางด้านซอฟต์แวร์ โดยเป็นการกระทำโต้ตอบกัน เพื่อแก้ปัญหาแบบไม่มีโครงสร้าง และอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ใช้ตั้งแต่เริ่มต้นถึงสิ้นสุดขั้นตอนหรืออาจกล่าวได้ว่า DSS เป็นระบบที่โต้ตอบกันโดยใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อหาคำตอบที่ง่าย สะดวก รวดเร็วจากปัญหาที่ไม่มีโครงสร้างที่แน่นอน ดังนั้นระบบการสนับสนุนการตัดสินใจ จึงประกอบด้วยชุดเครื่องมือ ข้อมูล ตัวแบบ (Model) และทรัพยากรอื่นๆ ที่ผู้ใช้หรือนักวิเคราะห์นำมาใช้ในการประเมินผลและแก้ไขปัญหา ดังนั้นหลักการของDSS จึงเป็นการให้เครื่องมือที่จำเป็นแก่ผู้บริหาร ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีรูปแบบที่ซับซ้อน แต่มีวิธีการปฏิบัติที่ยืดหยุ่น DSS จึงถูกออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่เพียงแต่การตอบสนองในเรื่องความต้องการของข้อมูลเท่านั้น



ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ


ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับความสนใจนำมาใช้งานในหลายลักษณะและเกือบทุกธุรกิจ โดยที่พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศได้ส่งผลกระทบในวงกว้างไปทุกวงการทั้งภาคเอกชนและราชการ ระบบสารสนเทศช่วยสร้างประโยชน์ต่อการดำเนินงานขององค์กรได้ดังนี้
1. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและทันต่อ
เหตุการณ์เนื่องจากข้อมูลถูกจัดเก็บและบริหารอย่างเป็นระบบ ทำให้ผู้บริหารสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วในรูปแบบที่เหมาะสมและสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ทันต่อความต้องการ
2. ช่วยในการกำหนดเป้าหมายกลยุทธ์และการวางแผนปฏิบัติการ โดยผู้บริหาร
สามารถนำข้อมูลที่ได้จากระบบสารสนเทศมาช่วยในการวางแผนและกำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานเนื่องจากสารสนเทศถูกรวบรวมและจัดการอย่างเป็นระบบ ทำให้มีประวัติของข้อมูลอย่างต่อเนื่อง สามารถที่จะบ่งชี้แนวโน้มของการดำเนินงานว่าน่าจะเป็นไปในลักษณะใด
       3. ช่วยในการตรวจสอบการดำเนินงาน เมื่อแผนงานถูกนำไปปฏิบัติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผู้ควบคุมจะต้องตรวจสอบผลการดำเนินงานโดยนำข้อมูลบางส่วนมาประมวลผลเพื่อประกอบการประเมิน สารสนเทศที่ได้จะแสดงให้เห็นผลการดำเนินงานว่าสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการเพียงไร
      4. ช่วยในการศึกษาและวิเคราะห์สาเหตูของปัญหา ผู้บริหารสามรถใช้ระบบสารสนเทศประกอบการศึกษาและการค้นหาสาเหตุ หรือข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการดำเนินงาน ถ้าการดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยอาจจะเรียกข้อมูลเพิ่มเติมออกมาจากระบบ เพื่อให้ทราบว่าความผิดพลาดในการปฏิบัติงานเกิดขึ้นจากสาเหตุใด หรือจัดรูปแบบสารสนเทศในการวิเคราะห์ปัญหาใหม่
      5. ช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อหาวิธีควบคุม ปรับปรุงและแก้ไขปัญหา สารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลจะช่วยให้ผู้บริหารวิเคราะห์ว่าการดำเนินงานในแต่ละทางเลือกจะช่วยแก้ไขหรือควบคุมปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ธุรกิจต้องทำอย่างไรเพื่อปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนงานหรือเป้าหมาย
    6. ช่วยลดค่าใช้จ่าย ระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจลดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการทำงานลง เนื่องจากระบบสารสนเทศสามารถรับภาระงานที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ตลอดจนช่วยลดขั้นตอนในการทำงาน ส่งผลให้ธุรกิจสามารถลดจำนวนคนและระยะเวลาในการประสานงานให้น้อยลง โดยผลงานที่ออกมาอาจเท่าหรือดีกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจ
               จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าระบบสารสนเทศมีความสำคัญในการบริหารจัดการภายในองค์กร เพราะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันสิ่งแวดล้อมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและมีการแข่งขันทางธุรกิจสูงองค์กรที่มีระบบการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงข้อมูลได้เร็วเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ในปัจจุบันดังนั้นผู้บริหารขององค์กรนับว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทในการที่จะพัฒนาระบบสารสนเทศของตนเองให้มีความทันสมัยและนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะปัจจุบันการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในวงการธุรกิจก็เพื่อลดต้นทุนการผลิต สนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารงานและใช้ในการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆสำหรับองค์กร นอกจากนี้ยังสร้างความแข็งแกร่งทางด้านธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าและบริการ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันนำไปสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ต่อไปในอนาคต
ลักษณะของ DSS

1) ระบบสารสนเทศที่ใช้สำหรับการสนับสนุนผู้ตัดสินใจทางการบริหารทั้งที่เป็นตัวบุคคลหรือกลุ่ม โดยการตัดสินใจนั้นจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่มีลักษณะเป็นแบบ ไม่มีโครงสร้าง (unstructured situations) โดยจะมีการนำวิจารณญาณของมนุษย์กับข้อมูล จากคอมพิวเตอร์มาใช้ประกอบในการตัดสินใจ
2) ระบบ DSS ช่วยในการตอบสนองความต้องการที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อนโดยผู้ใช้สามารถปรับข้อมูลใน DSS ได้ตลอดเวลาเพื่อจัดการกับเงื่อนไขต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยใช้การวิเคราะห์ที่เรียกว่า Sensitivity Analysis
3) ช่วยในการตัดสินใจที่ต้องการความรวดเร็วสูง เพื่อใช้ประกอบในการกำหนดกลยุทธ์ในการแข่งขัน ดังนั้น DSS จึงมีลักษณะการโต้ตอบได้ (interactive)
4) เสนอทางวิเคราะห์ในทางเลือกต่างๆ ในสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน
5) จัดการเก็บข้อมูลซึ่งมาจากหลายแหล่งได้ ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน


ส่วนประกอบและโครงสร้างของ DSS
ระบบ DSS มีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ การจัดการด้านข้อมูล (Data management) การติดต่อระหว่างผู้ใช้และคอมพิวเตอร์ (user interface) และการจัดการโมเดล (model management) (Turban et al.,2001)
1) การจัดการข้อมูล (Data management) ประกอบด้วย ฐานข้อมูลและวิธีการดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในการตัดสินใจมาใช้ โดยข้อมูลเหล่านี้อาจจะมาจากดาตาแวร์เฮาส์ของบริษัท หรือฐานข้อมูลปกติทั่วไป หรือจากแหล่งภายนอกก็ได้
2) การติดต่อระหว่างผู้ใช้และคอมพิวเตอร์ (User interface) การติดต่อระหว่างผู้ใช้และคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารและสั่งงานระบบ DSS ได้รูปแบบที่ง่ายที่สุดอาจจะใช้โปรแกรมสเปรดชีท (spreadsheet) หรืออาจจะใช้รูปภาพกราฟฟิคก็ได้
3) การจัดการโมเดล (Model management) ซึ่งประกอบด้วยซอฟต์แวร์ด้านการเงิน สถิติ หรือโมเดลเชิงปริมาณอื่นๆ ซึ่งมีความสามารถในการวิเคราะห์
4) การจัดการกับความรู้ (Knowledge management) เป็นระบบที่ช่วยป้อนความรู้ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเฉพาะ ระบบนี้จะมีเฉพาะ DSS บางประเภทเท่านั้
6) นำเสนอได้ทั้งรายงานที่เป็นข้อความและกราฟฟิค

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์


โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องหลายขั้นตอน และแต่ละขั้นตอนจะมีความสำคัญต่อโครงงานนั้น ๆ การแบ่งขั้นตอนของการทำโครงงานอาจแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงงานและการวางแผนการทำโครงงานในที่นี้จะบ่งการทำงานออกเป็น 6 ขั้นตอนดังนี้
1. การคัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจทำ
โดยทั่วไปเรื่องที่จะนำมาพัฒนาเป็นโครงงานคอมพิวเตอร์ มักจะได้มาจากปัญหา คำถาม หรือความสนใจในเรื่องต่าง ๆ จากการสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว นักเรียนสามารถจะศึกษาการได้มาของเรื่องที่จะทำโครงงาน การอ่านค้นคว้า การไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ การฟังบรรยาย รายการวิทยุโทรทัศน์ สนทนาอภิปราย กิจกรรมการเรียนการสอน งานอดิเรก การเข้าชมงานนิทรรศการหรืองานประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์ ในการตัดสินใจเลือกหัวข้อที่จะนำมาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ ควรพิจารณาองค์ประกอบสำคัญดังนี้
- จะต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานอย่างเพียงพอในหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา
- สามารถจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องได้
- มีแหล่งความรู้เพียงพอที่จะค้นคว้าหรือขอคำปรึกษา
- มีเวลาเพียงพอ
- มีงบประมาณเพียงพอ
- มีความปลอดภัย
2. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล
รวมถึงการขอคำปรึกษาจากผู้ทรงคุณวุฒิช่วยจะช่วยให้นักเรียนได้แนวคิดที่ใช้ในการกำหนดของเขตของเรื่องที่จะศึกษาได้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งความรู้เพิ่มเติมในเรื่งที่จะศึกษาจนสามารถใช้ออกแบบและวางแผนดำเนินการทำโครงงานนั้นได้อย่างเหมาะสมในการศึกษาค้นคว้าดังกล่าว นักเรียนจะต้องบันทึกสรุปสาระสำคัญไว้ด้วย
จะต้องพิจารณาดังนี้ มูลเหตุจูงใจและเป้าหมายในการทำ วัสดุอุปกรณ์ ความต้องการของผู้ใช้งานและคุณลักษณะของผลงาน (Requirement and Specification) วิธีการประเมินผล วิธีการพัฒนา ข้อสรุปของโครงงาน ความแปลกใหม่ ความคิดสร้างสรรค์ แนวทางในการปรับปรุงหรือขยายการทดลองจากงานเดิม
3. การจัดทำเค้าโครงของโครงงานที่จะทำ จำเป็นต้องกำหนดกรอบแนวคิดและวงแผนการพัฒนาล่วงหน้าเพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ของโครงงาน ขั้นตอนที่สำคัญคือ ศึกษาค้นคว้าเอกสาร วิเคราะห์ข้อมูล ออกแบบการพัฒนา เสนอเค้าโครงของโครงงานต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อขอคำแนะนำและปรับปรุงแก้ไข
4. การลงมือทำโครงงาน เมื่อเค้าโครงได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการพัฒนาตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ดังนี้ เตรียมการ ลงมือพัฒนา ตรวจสอบผลงานและแกไข อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ แนวทางในการพัฒนาโครงงานในอนาคต
5. การเขียนรายงาน เป็นสื่อความหมายเพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจแนวความคิด วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า ข้อมูลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงงานนั้น ในการเขียนควรใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจได้ง่าย ชัดเจน กระชับ และตรงไปตรงมาให้ครอบคลุมหัวข้อต่าง ๆ
6. การนำเสนอและการแสดงผลงานของโครงงาน เป็นการนำเสนอเพื่อแสดงออกถึงผลิตผลของความคิด ความพยายามในการทำงานที่ผู้ทำโครงงานได้ทุ่มเท และเป็นวิธีที่ให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจในโครงงานนั้น ในการเสนออาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น ติดโปสเตอร์ การรายงานตัวในที่ประชุม การแสดงผลงานด้วยสื่อต่าง การจัดนิทรรศการ การอธิบายด้วยคำพูด

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ชื่อโครงงาน

เครื่องมือเอแจ็กซ์สำหรับพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน

ชื่อผู้ทำโครงงานนายณัฐพงศ์ รัตนพงศ์เลขา,นายณัฐกุล อำนรรฆกิตติกุล
ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษารศ.ดร. ธาราทิพย์ สุวรรณศาสตร์ 
สถาบันการศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
ระดับชั้นปริญญาตรี 
หมวดวิชาคอมพิวเตอร์ 
วัน/เดือน/ปี ทำโครงงานไม่ระบุ
บทคัดย่อ
ในปัจจุบันเทคโนโลยีเว็บแอปพลิเคชันได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆมากมาย อาทิ ด้าเศรษฐศาสตร์ ด้านการติดต่อสื่อสารและด้านการศึกษา ซึ่งด้านความต้องการเหล่านี้ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แอปพลิเคชันต่างๆก็มีความพยายามที่จะออกแบบให้คตัวเว็บมีความสวยงาม และมีประสิทธิภาพสูง เพื่อตอบสนองความต้องการผู้ใช้ ทั้งนี้เทคโนโลยีที่นำมาใช้มีอยู่มากมายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เจ้าของแอปพลิเคชันต้องลงทุนสูงกับการปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ดังนั้นวิธีที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวคือ การสร้างเครื่องมือที่ทำการเปลี่ยนแปลงแอปพลิเคชันโดยการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้

เทคโนโลยีเอเเจ็กซ์ เป็นรูปแบบหนึ่งในการพัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อช่วยให้โต้ตอบกับผู้ใช้อื่นๆได้ดีขึ้น โดยการรับส่งข้อมูลนั้นๆจะทำให้ฉากหลัง ทำให้ไม่ต้องดาว์นโหลดทั้งหน้าทุกครั้งท่มีการเปลี่ยนแปลง ช่วยเพิ่มการตอบสนอง ควารวดเร็วและการใช้งานโดยรวมดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีเอแจ็กซ์ ได้เข้ามามามีบทบาทกับแอปพลิเคชันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนการที่จะเปลี่ยนแปลงแอปพลิเคชัน ไปป็นเชื่อมโยงแบบเอเเจ็กซ์นั้น ถ้าจะต้องแปลงเองทีละเว็บ ก็อาจทำได้ไม่สะดวกนัก ดังนั้น โครงการนี้จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการแปลงแอปพลิเคชันแบดั้งเดิม ไปเป็นแอปพลิเคชันที่มีการเชื่อโยงแบบเอเเจ็กซ์ขึ้น ซึ่งเเนวทางที่จะช่วยให้เปลี่ยนแปลง ทำให้สะดวก ง่ายขึ้น ด้วยลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการทำงาน รวมทั้งเป็นดารส่งเสริมให้มีการนำเทโนโลยีเอเเจ็กซ์มาใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ดีอีกด้วย

เป็นโครงงานที่ส่งเสริมการทำแอปพลิเคชั่นของคนไทยให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กิจกรรม-โครงงานคอมพิวเตอร์

1.โครงงานคอมพิวเตอร์ หมายถึงอะไร?
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าของสังคม ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านนี้มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเรื่องยากที่ประชาชนจะคอยติดตามความก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการศึกษาเทคโนโลยี ของคอมพิวเตอร์ จึงต้องศึกษาหลักการและเนื้อหาพื้นฐานเป็นสำคัญ การศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์  เป็นสิ่งจำเป็นเสมือนกับการศึกษาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คอมพิวเตอร์ได้เปลี่ยนแปลง โลกของเราในด้านต่างๆ มากมาย 
2.โครงงานคอมพิวเตอร์ มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ?


1.             โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media Development)
2.             โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
3.             โครงงานจำลองทฤษฏี (Theory Simulation)
4.             โครงงานประยุกต์ใช้งาน (Application)
5.             โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)


3.ตัวอย่างโครงงานคอมพิวเตอร์  ยกตัวอย่าง  2  โครงงาน 

              1. Smart Home บ้านอัจฉริยะ
ผู้พัฒนาเล็งเห็นว่าวิกฤติพลังงาน และการมิได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเพียงพอของผู้สูงอายุและผู้พิการในประเทศไทยเป็นวาระสำคัญของชาติ เราจึงมีความคิดที่จะพัฒนาโครงการนี้ไม่เพียงแค่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานทั่วไปแต่ยังคำนึงถึงผู้สูงอายุและผู้พิการด้วย โดยผู้ใช้งานสามารถควบคุมและตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านตนเองได้ง่ายๆผ่านการสั่งงานทาง Web application 
ผู้พัฒนามีความคิดที่จะพัฒนาชุดโปรแกรมนี้ควบคู่กับการสั่งงานด้วยสียงเพื่ออำนวยความสะดวกผู้พิการยิ่งขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีการนำ sensor มาปรับใช้ในลักษณะของระบบรักษาความปลอดภัยด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้นโครงการเกิดขึ้นได้เพราะผู้พัฒนาเล็งเห็นว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสารของประทศไทยนั้นมีศักยภาพ


ที่มา http://www.vcharkarn.com/project/view/655


              2.โปรแกรมไบรท์ไซต์ (Bright Sight)
โครงงานไบรท์ไซต์ได้นำเทคโนโลยี 2 อย่างคือ เทคโนโลยีการรู้จำอักขระจากภาพ และเทคโนโลยีการสังเคราะห์เสียงพูดภาษาไทย มารวมกัน เพื่อพัฒนาโปรแกรมที่สามารถอ่านอักขระในภาพสแกนจากหน้าหนังสือหรือเอกสารต่างๆ ออกมาเป็นเสียงพูดภาษาไทยได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเองแก่ผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น ให้สามารถรับรู้ข้อมูลจากหนังสือที่ต้องการได้ 
นอกจากนี้ โครงงานนี้ยังได้นำเทคโนโลยีการสร้างหนังสือเสียงระบบเดซีมาใช้ เพื่อให้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้น สามารถสร้างหนังสือเสียงระบบเดซีที่สามารถอ่านได้โดยโปรแกรมอ่านหนังสือเดซีทั่วไปได้อัตโนมัติ โดยเน้นที่การใช้งานบนโปรแกรมอ่านหนังสือเสียงระบบเดซีภาษาไทย ที่ปัจจุบันใช้ในสถาบันเพื่อผู้บกพร่องทางการมองเห็นในประเทศไทยหลายสถาบัน ซึ่งหนังสือเสียงระบบเดซีนี้มีจุดเด่นเหนือเสียงพูดที่อัดในเทปคาสเซ็ตทั่วไปคือ ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามการอ่านไปยังหน้า หรือประโยคที่ต้องการได้ สามารถค้นหาข้อความที่ต้องการในหนังสือเสียง และข้ามไปฟังยังจุดนั้นได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถสร้างที่คั่นหน้า เพื่อกลับมาอ่านเริ่มอ่านจากตำแหน่งเดิมได้
โปรแกรมที่พัฒนาขึ้น เมื่อทดสอบแล้วสามารถทำงานได้รวดเร็ว และคุณภาพอยู่ในระดับดีเมื่อภาพสแกนที่ได้รับมีความชัดเจนและมีขนาดใหญ่เพียงพอ และหนังสือเสียงระบบเดซีที่ได้จากโปรแกรมสามารถใช้งานในโปรแกรมอ่านหนังสือเดซีภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง


ที่มา http://www.vcharkarn.com/project/view/653










คำศัพท์คอมพิวเตอร์

1. Computer = คอมพิวเตอร์

2. Software = ชุดคำสั่งหรือโปรแกรม

3. Hardware = อุปกรณ์เชื่อมต่อภายนอก

4. Input unit = หน่วยรับเข้า

5. Output unit = หน่วยส่งออก

6. Main Memory unit = หน่วยความจำหลัก 

7. Secondary memory unit = หน่วยความจำรอง

8. Keyboard = แป้นพิมพ์

9. Word = คำหรือคำศัพท์

10. Ram = เก็บข้อมูลและโปรแกรม

11. Online = การติดต่อ

12. Upload = การโหลดข้อมูล 

13. Network = เครือข่าย 

14. Fax modem = โมเด็มที่ส่งแฟกซ์ได้ 

15. Web Site = หน้าต่างของเนต 

16. Antivirus Program = โปรแกรมป้องกันไวรัส

17. Computer System = ระบบคอมพิวเตอร์

18. Information System = ระบบขอมูล

19. Computer Network = ระบบเครือข่าย

20. User = ผู้ใช้

21. Account = บัญชีผู้ใช้

22. USB = หน่วยเก็บข้อมูล

23. .net = แสดงเว็บของบริษัท

24. Keyword = รหัสของบางโปรแกรม

25. Multimedia = สื่อประสม

26. Bus = การเชื่อมต่อเครือข่าย

27. Browser = เป็นชื่อใช้เรียกซอฟต์แวร์

28. Bug = ความผิดพลาดของคอม

29. Database = ฐานข้อมูล

30. CD-ROM = ตัวจัดการกับแผ่นต่างๆ

31. Compact Disc = อุปกรณ์ประเภทแผ่น

32. Mouse = เมาส์

33. Light pen = ปากกาแสง

34. Track ball = ลูกกลมควบคุม

35. Joystick = ก้านควบคุม

36. Scanner = เครื่องกราดตรวจ

37. Touch screen = จอสัมผัส

38. Control Unit = หน่วยควบคุม

39. Rom = หน่วยความจำแบบอ่าน

40. Diskette = แผ่นบันทึก

41. Harddisk = ฮาร์ดดิสก์

42. Magnetic Tape = เทปแม่เหล็ก

43. Monitor = จอภาพ

44. Printer = เครื่องพิมพ์

45. Laser printer = เครื่องพิมพ์เลเซอร์

46. Line printer = เครื่องพิมพ์รายบรรทัด

47. Speaker = ลำโพง

48. Microsoft Word = โปรแกรมเวิร์ด

49. Microsoft Excel = โปรแกรมเอกเซล

50. Microsoft PowerPoint = โปรแกรมเพาเวอร์พอยนต์



วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

บริการต่างๆบนอินเทอร์เน็ต

                                           1.E-mail
อีเมล (อังกฤษ: e-mail, email) ย่อมาจาก จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (อังกฤษ: electronic mail) คือวิธีการหนึ่งของการแลกเปลี่ยนข้อความแบบดิจิทัลซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อให้มนุษย์ใช้เป็นหลัก ข้อความนั้นจะต้องประกอบด้วยเนื้อหา ที่อยู่ของผู้ส่ง และที่อยู่ของผู้รับ (ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่ง) เป็นอย่างน้อย บริการอีเมลบนอินเทอร์เน็ตในทุกวันนี้เริ่มมีการจัดตั้งมาจากอาร์พาเน็ต (ARPANET) และมีการดัดแปลงโค้ดจนนำไปสู่มาตรฐานของการเข้ารหัสข้อความ RFC 733 อีเมลที่ส่งกันในยุคคริสต์ทศวรรษ 1970 นั้นมีความคล้ายคลึงกับอีเมลในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงจากอาร์พาเน็ตไปเป็นอินเทอร์เน็ตในคริสต์ทศวรรษ 1980 ทำให้เกิดรายละเอียดแบบสมัยใหม่ของการบริการ โดยส่งข้อมูลผ่านเกณฑ์วิธีถ่ายโอนไปรษณีย์อย่างง่าย (SMTP) ซึ่งได้เผยแพร่เป็นมาตรฐานอินเทอร์เน็ต 10 (RFC 821) เมื่อ พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) และเปลี่ยน RFC 733 ไปเป็นมาตรฐานอินเทอร์เน็ต 11 (RFC 822) การแนบไฟล์มัลติมีเดียเริ่มมีการทำให้เป็นมาตรฐานใน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) ด้วย RFC 2045 ไปจนถึง RFC 2049 และภายหลังก็เรียกกันว่าส่วนขยายสื่อประสมในระบบอินเทอร์เน็ตแบบอเนกประสงค์ (MIME)



ตัวอย่างผู้ให้บริการอีเมล
                                                      

                                                      




                                                      2.Search
เสิร์ชเอนจิน (search engine) คือ โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยครอบคลุมทั้งข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เพลง ซอฟต์แวร์ แผนที่ ข้อมูลบุคคล กลุ่มข่าว และอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่โปรแกรมหรือผู้ให้บริการแต่ละราย. เสิร์ชเอนจินส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูลจากคำสำคัญ (คีย์เวิร์ด) ที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป จากนั้นก็จะแสดง
รายการผลลัพธ์ที่มันคิดว่าผู้ใช้น่าจะต้องการขึ้นมา ในปัจจุบัน เสิร์ชเอนจินบางตัว เช่น กูเกิล จะบัน
ทึกประวัติการค้นหาและการเลือกผลลัพธ์ของผู้ใช้ไว้ด้วย และจะนำประวัติที่บันทึกไว้นั้น มาช่วยกรองผลลัพธ์ในการค้นหาครั้งต่อ ๆ ไป
ตัวอย่าง
1.www.google.com

                                           

                        3.Social Network

Social Network หรือ เครือข่ายสังคม (ชุมชนออนไลน์) เป็นรูปแบบของเว็บไซต์ ในการสร้างเครือข่ายสังคม สำหรับผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ต เขียนและอธิบายความสนใจ และกิจการที่ได้ทำ และเชื่อมโยงกับความสนใจและกิจกรรมของผู้อื่น ในบริการเครือข่ายสังคมมักจะประกอบไปด้วย การแช็ต ส่งข้อความ ส่งอีเมลล์ วิดีโอ เพลง อัปโหลดรูป บล็อก 
Social Network เป็นเครือข่ายความสัมพันธ์เสมือนที่ตอบสนองกับการสร้างสายสัมพันธ์ โยงใยให้เราได้เจอบุคคลที่คุยกันในเรื่องที่สนใจได้อย่างคอเดียวกัน สามารถเชื่อมโยงเพื่อนของเรา เข้ากับเพื่อนของเขา สามารถสร้างสรรค์สังคมใหม่ๆให้กับทุกคน สามารถเชื่อมโยงการสื่อสารภายในองค์กร และภายนอกองค์กรเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตอบสนองรูปแบบชีวิตของมนุษย์ยุคปัจจุบันนั่นเองครับ โดยภาพรวม Social Network เป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารกับองค์กรจากปากคำของเราเองได้เป็นอย่างดี ผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่จะสามารถสื่อสารกับคนในองค์กรของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องประสบปัญหาการบิดเบือนข้อความ หรือการสื่อสารที่ตกหล่นอีกต่อไป ครูอาจารย์สามารถให้แง่คิดหรือสิ่งละอันพันละน้อยแก่ลูกศิษย์ได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้พูดกันทีเดียวคราวละยาวๆ นักวิจัยอาจพบอะไรที่น่าสนใจแล้วสื่อสารให้รู้กันทุกคนในเครือข่ายเดียวกันได้ทันทีเพื่อให้ทีมรับรู้สิ่งน่าสนใจไปพร้อมๆกัน      
ตัวอย่าง